เทคโนโลยีจดจำใบหน้าคืออะไร ใกล้ตัวเราแค่ไหน

เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าที่เคยเห็นในภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง Minority Report เมื่อเกือบสองทศวรรษมาแล้ว ดูสนุกแล้วก็น่าทึ่งที่เทคโนโลยีไฮเทคและ AI ตรวจจับใบหน้าระบุตัวคนได้รวดเร็วแม่นยำ ใครจะคิดว่าวิทยาการล้ำสมัยทำได้จริง ๆ ในช่วงอายุของเรานี่เอง เทคโนโลยีจดจำใบหน้าไม่ได้ใช้เพียงแค่ปลดล็อกอุปกรณ์อย่างเช่นหน้าจอสมาร์ทโฟนและไอแพดเท่านั้น ในสนามบินบางแห่งใช้ระบบสแกนใบหน้าก่อนขึ้นเครื่องเพื่อรักษาความปลอดภัยแบบเข้มงวด ระบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐนำมาใช้สแกนใบหน้าเพื่อตรวจสอบควบคู่กับรูปในหนังสือเดินทางทำให้เช็คประวัติได้ทันทีว่าอยู่มานานเกินวีซ่าหรือเปล่า

เมื่อเร็ว ๆ นี้โรงเรียนและค่ายฤดูร้อนทั่วสหรัฐเริ่มทดสอบการใช้ระบบสแกนใบหน้า แม้แต่สวนสนุกอย่าง ดิสนีย์เวิลด์ ก็ยังนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงระบบความปลอดภัยไปพร้อมกับลดต้นทุนและย่นเวลารอคิวเครื่องเล่น แต่หลายฝ่ายยังมีข้อกังวลว่าถ้านำเทคโนโลยีมาใช้โดยขาดการควบคุมอาจเกิดปัญหารุกล้ำความเป็นส่วนตัว หรือข้อมูลของบุคคลที่บันทึกในระบบถูกแฮกจะเกิดอะไรขึ้น องค์กรตำรวจหลายแห่งต้องระงับการใช้เทคโนโลยีไว้ก่อนจนกว่าจะมีการศึกษาผลกระทบอย่างชัดเจน แต่หลายประเทศรวมทั้งสหรัฐไม่คิดว่าเรื่องนี้ต้องรอ ทำการสแกนใบหน้าเก็บข้อมูลประชากรนับร้อยล้านคนไว้ในฐานข้อมูลเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันภัยก่อการร้าย

แม้ว่าการก่อการร้ายเป็นภัยคุกคามที่มีความรุนแรงมากขึ้นและใกล้ตัวเข้ามาทุกที แต่การรักษาความปลอดภัยควรแยกประเด็นในเรื่องสิ่งที่กังวลกับความเป็นจริง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณบังเอิญดูคล้ายกับใครบางคนและถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างเช่นการจดจำใบหน้า เกิดผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัว และแน่นอนว่ากระทบต่อเสรีภาพของพลเมือง

เทคโนโลยีจดจำใบหน้าถูกใช้เป็นเครื่องมือเฝ้าระวังในสหรัฐนับตั้งแต่เกิดเหตุก่อการร้าย 11 กันยายน หลังการวางระเบิดในการแข่งขันวิ่งมาราธอนที่บอสตันด้วย ประเทศจีนติดตั้งกล้องวงจรปิดและเครื่องมือสแกนใบหน้าไปทั่วทุกหนแห่ง ทั้งร้านสะดวกซื้อ โรงแรม ธนาคาร ปั๊มน้ำมัน เพื่อจับตาสอดส่องพฤติกรรมของกลุ่มมุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง มีรายงานว่าอิสราเอลใช้ระบบจดจำใบหน้าเพื่อติดตามชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ ขณะเดียวกันสหราชอาณาจักรและรัสเซียต่างก็ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเพื่อค้นหาผู้คนที่ต้องสงสัยเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยในประเทศ

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาระบบจดจำใบหน้าถูกใช้ไปทั่ว รวมถึงนำภาพถ่ายใบหน้าของผู้คนหลายพันล้านหน้าบนอินเทอร์เน็ตมารวมกันเป็นชุดข้อมูลภาพขนาดใหญ่เพื่อให้โลกของเราปลอดภัย คำถามที่เกิดขึ้นคือคุ้มค่าหรือไม่กับความเป็นส่วนตัวที่เสียไป สำหรับคนธรรมดาอย่างเรา ๆ แล้วการจดจำใบหน้าคืออะไร และน่ากลัวแค่ไหน ถ้าพูดถึงเรื่องใกล้ตัวที่สุดน่าจะเป็นการติดแท็กภาพถ่ายในเฟซบุ๊ก อาจจะเป็นอัลบั้มภาพถ่ายจากงานแต่งงาน งานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนนักเรียน และงานปาร์ตี้ของที่ทำงาน มีแอปพลิเคชั่นจดจำใบหน้ามากมายและเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันยืนยันตัวตนเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์มือถือ หรือทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินผ่านมือถือโดยมองเข้าไปในกล้องแทนรหัสพิมพ์เพื่อความปลอดภัย

ระบบจดจำใบหน้าป้องกันความเสี่ยงโจรเข้าบ้าน โดยสแกนใบหน้าเทียบกับภาพถ่ายใบหน้าบุคคลที่อัปโหลดไว้ทำให้รู้ว่าใครมายืนหน้าประตู กล้องวงจรปิดตรวจจับใบหน้าลูกจ้างทำให้รู้ว่ามีคนขี้เกียจลุกหายไปจากออฟฟิศ แม้แต่ป้ายโฆษณายังจดจำใบหน้าประเมินเพศ อายุ และอารมณ์บนใบหน้าของผู้คนที่สนใจหยุดดู เทคโนโลยีนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเริ่มคุกคามความเป็นส่วนตัวโดยที่เราไม่รู้ตัว

เทคโนโลยีจำใบหน้าคืออะไร ใกล้ตัวเราแค่ไหน

5 เทคโนโลยีสมัยใหม่ต้องรู้ก่อนตกเทรนด์

เทคโนโลยี ได้กลายเป็นสิ่งที่ก้าวหน้าและมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้ตกข่าวก็ควรรู้จักติดตามและทำความเข้าใจกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ เสียบ้าง เพราะหากไม่รู้จักติดตามเอาไว้บ้าง ย่อมมีโอกาสที่คุณจะเกิดอาการตกเทรนด์และตามคนอื่น ๆ เขาไม่ทันได้จึงขอแนะนำเทคโนโลยีใหม่ที่ควรรู้จักเอาไว้ก่อนตกข่าวสัก 5 รายการตามรายละเอียดต่อไปนี้

การสื่อสารยุค 5G เทคโนโลยีการสื่อสารได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตผู้คนในปัจจุบัน จึงได้เกิดการพัฒนาประสิทธิภาพของเทคโนโลยีนี้ให้มีขีดความสามารถในการสื่อสารสูงมากขึ้น เกิดเป็นเทคโนโลยีของเครือข่ายสำหรับการสื่อสารและผลิตภัณฑ์อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับการสื่อสารที่สามารถส่งและรับข้อมูลไร้สายได้เร็วมากขึ้น ทั้งยังมีเสถียรภาพมากกว่าเดิม โดยคาดว่าเทคโนโลยี 5G จะมีความเร็วสูงกว่า 4G ถึงร้อยละ 15-50

หุ่นโดรน และเครื่องจักรกลสำหรับสงคราม โดรนหรืออากาศยานไร้คนขับกำลังเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยคาดการณ์เอาไว้ว่าโดรนจะมีผู้ผลิตมากขึ้น และมีโอกาสที่ราคาจะถูกลง ความสามารถของโดรนจะเพิ่มมากขึ้นทั้งเพื่อการใช้งานทั่วไปและการใช้งานภาคอุตสาหกรรม รวมไปถึงการใช้งานในสงคราม อันเป็นผลต่อเนื่องมากจากการพัฒนาหุ่นยนต์เพื่อการศึกสงคราม รวมไปถึงก่อเกิดเป็นธุรกิจด้านการขนส่งรูปแบบใหม่ได้อีกด้วย

ความหลากหลายของภาพพิมพ์ 3 มิติ ในอดีตภาพพิมพ์ 3 มิติถูกมองว่าเป็นสิ่งจำลองที่ไม่สามารถนำมาใช้งานใด ๆ ได้ แต่ด้วยการพัฒนาทาง เทคโนโลยีที่เพิ่มมากขึ้นจึงทำให้ภาพจำลองนี้สามารถนำมาใช้ผลิตเป็นข้าวของเครื่องใช้ ส่วนประกอบของเครื่องจักร เพื่อลดต้นทุนการผลิตได้อย่างเป็นรูปธรรม จึงเป็นหนึ่งเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง มีอัตราการเจริญเติบโตและพัฒนาต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว

Bio metric คือการนำอัตลักษณ์ทางชีวิภาพของบุคคลหรือสิ่งของต่าง ๆ มาจัดเก็บให้กลายเป็นข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูลเหล่านี้มีแนวโน้มที่จะถูกจัดเก็บมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อนำมาใช้ยืนยันข้อมูลส่วนบุคคล นำไปสู่การเปิดใช้งานอุปกรณ์ หรือข้อมูลต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลเสียงด้วยเพราะผู้คนเริ่มชื่นชอบการใช้เสียงสั่งการกันมากขึ้น

Smart Farm เมื่อคนยุคใหม่เริ่มให้ความสำคัญกับวิถีชีวิตแบบดั้งเดิมจนมุ่งหนากลับสู่งานภาคเกษตรกรรมกันมากขึ้น ประกอบเขากับความต้องการอาหารของผู้คนในโลกที่เพิ่มสูงขึ้น ส่งผลให้มีการนำเทคโนโลยีด้านการเกษตรมาปรับใช้ให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานและผลผลิตทางการเกษตรที่เพิ่มสูงขึ้น อย่างการควบคุมสภาวะในการเพาะปลูกทั้งความชื้น แสง อุณหภูมิและความกดอากาศ เป็นต้น

เพราะเทคโนโลยีคือสิ่งที่ช่วยให้ชีวิตของผู้คนมีความง่าย และสะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทุก ๆ คนจึงควรทำความรู้จักกับเทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านั้นให้ดี เพื่อให้ตามทันไม่มีตกเทรนด์

การสื่อสารยุค 5G เทคโนโลยีการสื่อสาร

เทคโนโลยีตรวจจับอารมณ์คนขับเพิ่มความปลอดภัยบนถนน

หากเรารู้สึกง่วงนอนหรือไม่มีสมาธิระหว่างขับรถ อาจไม่สามารถโฟกัสความสนใจไปบนท้องถนนอย่างเต็มที่ มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากขึ้น ระบบตรวจจับอารมณ์ในรถยนต์ของผู้ขับขี่จึงเป็นเทคโนโลยีนวัตกรรมที่กำลังเข้ามาเป็นอุปกรณ์เสริมเพิ่มความปลอดภัยทางการจราจร บริษัทจากัวร์ แลนด์ โรเวอร์ ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอังกฤษกำลังพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ใหม่ (AI) ที่ไม่เพียงเข้าใจอารมณ์ของคนขับเท่านั้น แต่ยังปรับสภาพแวดล้อมของรถเพื่อผ่อนคลายความเครียดขณะเดินทางได้อีกด้วย

ก่อนหน้านี้ผู้ผลิตยานยนต์ยักษ์ใหญ่บางรายพัฒนาเทคโนโลยีระบบตรวจจับอารมณ์ซึ่งมุ่งเน้นไปที่อาการสัปหงกและหลับใน หรืออาการหาวถี่ ๆ แสดงว่าคนขับเริ่มรู้สึกง่วงจะมีสัญญาณเตือนทั้งแสงและเสียงเพื่อให้คนขับรู้สึกตัวและหยุดพัก ระบบนี้มีอยู่แล้วในรถยนต์ทุกคันของจากัวร์และแลนด์โรเวอร์

สำหรับเทคโนโลยีล่าสุดของจากัวร์จะใช้กล้องจับภาพด้านหน้าของคนขับ และตรวจจับสายตาและประเมินอารมณ์ของคนขยับ พร้อมกับควบคุมห้องโดยสารให้เหมาะสม เช่น ปรับระบบปรับอากาศ ระบบระบายอากาศ ปรับแสงโดยรอบ ทุกวันนี้เรากำลังก้าวไปสู่ยุคของรถยนต์ระบบอัตโนมัติไร้คนขับ แต่ยังคงอีกไกลที่จะไปถึงคนหมู่มาก เทคโนโลยีที่ยังคงความสำคัญที่สุดในยุคนี้ถึงการวิจัยที่ช่วยอำนวยความสะดวกสบายในผู้ขับขี่ โดยเฉพาะการมีสติและตื่นตัวอยู่หลังพวงมาลัยในทุกสถานการณ์การขับขี่ ระบบใหม่ของจากัวร์จะใช้เทคโนโลยีชีวภาพจับรูปแบบการแสดงอารมณ์ของผู้ขับขี่อย่างต่อเนื่องและจัดการการตั้งค่าต่าง ๆ ในรถยนต์ให้เหมาะสมโดยอัตโนมัติ หมายความว่าการปรับตั้งค่าจะเปลี่ยนแปลงไปตามพฤติกรรมของผู้ขับขี่แต่ละคน เช่น ถ้าตรวจพบความเครียด ระบบจะเปลี่ยนแสงภายในรถยนต์ให้สีเย็นตา ถ้าคนขับหาวเป็นสัญญาณของความเหนื่อยล้าจะเปิดเพลงเพื่อลดความเครียด ลดอุณหภูมิห้องโดยสาร หรืออื่น ๆ

พูดถึงความสะดวกสบายของผู้โดยสารแล้ว ทางจากัวร์กำลังทดลองเทคโนโลยีที่คล้ายกันสำหรับผู้โดยสารเบาะด้านหลังด้วย โดยติดกล้องบนพนักพิงศีรษะ หากตรวจพบสัญญาณของความเมื่อยล้า ระบบควบคุมจะหรี่แสงและปรับอุณหภูมิที่เบาะเพื่อช่วยให้ผู้โดยสารหลับสบาย

เทคโนโลยีตรวจจับอารมณ์คนขับเพิ่มความปลอดภัยบนถนน

นอกจากนั้นจากัวร์ยังได้ร่วมมือกับมหาวิทยาลัยกลาสโกว์ในสกอตแลนด์พัฒนาพวงมาลัยแบบใหม่ที่ติดตั้งระบบให้ความร้อนและเย็น ซึ่งจะบอกคนขับว่าจะเลี้ยวตรงไหนและเปลี่ยนเลนเมื่อไร รวมถึงแจ้งเตือนว่าใกล้ถึงทางแยกด้วย ทำให้สายตาของผู้ขับขี่อยู่บนท้องถนนตลอดเวลา ทั้งยังมีประโยชน์มากขณะเดินทางในช่วงฝนตกหรือมีหมอกทำให้ทัศนวิสัยไม่ดี ไม่จำเป็นต้องใช้ระบบสั่นหรือเสียงรบกวน เนื่องจากผู้ขับขี่เสียสมาธิเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนทั่วโลก การใช้ตัวชี้นำความร้อนบนพวงมาลัยเป็นระบบเตือนก่อนเกิดอุบัติเหตุร้ายแรง เพื่อให้มั่นใจว่าคนขับจะมีสมาธิระหว่างขับรถ จากัวร์ได้ทดลองใช้เทคโนโลยีนี้กับการเปลี่ยนเกียร์ด้วย ช่วยให้ประสิทธิภาพการขับรถดีขึ้น มีความปลอดภัยมากขึ้น ก่อนที่รถยนต์ขับด้วยตัวเองอัตโนมัติจะออกมาวิ่งเต็มท้องถนนในอนาคตอีกยาวไกล

โรคที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีมากเกินไป 2019

เทคโนโลยีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวันของคนยุคปัจจุบัน เนื่องจากมีความก้าวหน้าของระบบการสื่อสารและอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วแบบ 5G เพื่อการหาข้อมูลสำหรับการเรียน การทำงาน การเล่นหุ้น รวมถึงการซื้อขายสินค้าออนไลน์ ฯลฯ ทำให้คนส่วนใหญ่พกพามือถือใช้งานตลอดวัน

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมโรคที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีมากเกินไปมาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านได้ปรับพฤติกรรมการใช้เทคโนโลยีให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ดังนี้

1. โรคกล้ามเนื้ออักเสบหรือออฟฟิสซินโดรม เป็นผลจากการนั่งทำงานใช้คอมพิวเตอร์มากเกินไป โดยเฉพาะในกลุ่มพนักงานออฟฟิศที่มักต้องนั่งอยู่กับที่นาน 4-8 ชั่วโมงต่อวัน รวมถึงการเล่นเกมออนไลน์ต่อเนื่องหลายชั่วโมง ซึ่งเป็นกิจกรรมที่อยู่ในความสนใจของเด็กและวัยรุ่นยุคใหม่ การอักเสบของกล้ามเนื้อมักที่บริเวณบ่า ไหล่ หลัง เอว หากปล่อยไว้ไม่ปรับเปลี่ยนอิริยาบถ หรือปรับท่าทางในการนั่ง อาจทำให้อาการรุนแรงถึงขั้นต้องฝังเข็มหรือกายภาพบำบัดได้

2. โรคตาแห้ง หรือ Dry Eye Syndrome เกิดจากการใช้สายตาจ้องที่หน้าจอคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือมากเกินไป ทำให้ความถี่ในการกระพริบตาลดน้อยลง นัยน์ตาจึงขาดน้ำตาหล่อเลี้ยงและเคลือบผิวดวงตา เสี่ยงต่อการเกิดอาการแพ้ ระคายเคืองได้ง่าย สังเกตได้จากมักรู้สึกคันตา ตาแดง จนต้องขยี้ตาบ่อย ๆ วิธีการแก้ไขคือ ลดชั่วโมงการใช้เครื่องมือเทคโนโลยีเหล่านี้ลงและหยอดตาบ่อย ๆ ด้วยน้ำตาเทียม แต่หากมีอาการมากให้ปรึกษาจักษุแพทย์เพราะอาจถึงขั้นเยื่อบุตาขาวอักเสบได้ โดยเฉพาะผู้ที่ชอบใช้คอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์ในที่มืดแสงสว่างไม่เพียงพอ

3. โรคเครียด เกิดจากการต้องทำงานแข่งกับเวลา ต้องคิดวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดควบคู่กับการวิเคราะห์ตัวเลขหรือกราฟต่าง ๆ ผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ 2 -3 เครื่องพร้อมกัน จะทำให้เกิดความเครียดได้สูง ซึ่งผู้ที่ทำงานลักษณะนี้ส่วนใหญ่แทบจะไม่มีเวลาในการเปลี่ยนอิริยาบถ ทำให้กลายเป็นโรคเครียดสะสมซึ่งส่งผลต่อสุขภาพจิตและประสิทธิภาพในการทำงานระยะยาวได้

โรคที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยี

4. โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เกิดจากการเล่นเกมคอมพิวเตอร์แบบออน์ไลน์ หรือการทำงานต่อเนื่องยาวนานหลายชั่วโมง โดยไม่ได้พักเพื่อดื่มน้ำหรือเข้าห้องน้ำ ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะง่าย โดยมักเริ่มจากมีไข้ ปัสสาวะขัด แสบเวลาปัสสาวะ หากมีอาการมากจะหนาวสั่นและปัสสาวะเป็นเลือดได้ ฯลฯ พบบ่อยในเพศหญิง เพราะท่อปัสสาวะจะสั้นและสะสมเชื้อแบคทีเรียก่อโรคง่าย

เทคโนโลยีให้ประโยชน์และความสะดวกในชีวิตประจำวัน แต่ก็สามารถทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้ หากใช้เทคโนโลยียาวนานต่อเนื่องมากเกินไป หวังว่าบทความนี้จะเป็นแนวทางในการปรับพฤติกรรมในชีวิตประจำวันของทุกท่านให้ใช้เทคโนโลยีอย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น

ชวนรู้จักเทคโนโลยี GPS tracking

ระบบ GPS tracking เป็นเทคโนโลยีเพื่อการรับส่งสัญญาณสำหรับติดตามตำแหน่งของวัตถุต่าง ๆ โดยสัญญาณ GPS จะมาจากดาวเทียมนอกโลกที่ส่งข้อมูลเข้ามายังสถานีแปลข้อมูล แล้วส่งสัญญาณมาที่เครื่องมือ GPS tracker ที่ติดตั้งไว้ เพื่อช่วยในการหาพิกัดได้อย่างถูกต้อง

โดยทั่วไป ผู้ใช้งานจะติดตั้งอุปกรณ์รับส่งสัญญาณ GPS หรือที่เรียกว่า GPS Tracker ที่รถยนต์ส่วนตัว รถบรรทุก กล่องพัสดุ ฯลฯ เพื่อตรวจสอบตำแหน่งหรือรายละเอียดอื่น ๆ แบบเรียลไทม์ได้ โดยมีโอกาสที่ข้อมูลจะคลาดเคลื่อนไปเฉลี่ยในระยะไม่เกิน 100 เมตร ซึ่งจัดได้ว่ามีความแม่นยำค่อนข้างสูง ขึ้นกับตำแหน่งของการใช้อุปกรณ์รับส่งสัญญาณด้วย หากอยู่ในจุดอับสัญญาณก็จะมีผลต่อประสิทธิภาพของสัญญาณได้

ประโยชน์ของระบบ GPS Tracking

1. นอกจากการระบุพิกัดละติจูดลองจิจูดของยานพาหนะแล้ว การเชื่อมกับระบบไฟฟ้าของรถยนต์ ยังช่วยให้ทราบผลข้อมูลเชิงลึกผ่านระบบเซนเซอร์ได้ เช่น อุณหภูมิภายในระบบเครื่องยนต์ ค่าแรงดันไฟฟ้า ระดับน้ำมันเชื้อเพลิง ฯลฯ ทำให้เจ้าของธุรกิจด้านโลจิสติกส์หรือการขนส่งสินค้าได้รับประโยชน์อย่างสูงสุดในการตรวจสอบด้านความปลอดภัยในการขับขี่รถขนส่งของพนักงาน และช่วยในการวางแผนการซ่อมบำรุงรถบรรทุกสินค้าได้ดีขึ้นด้วย

2. การที่ระบบ GPS tracking ช่วยในการตรวจสอบตำแหน่งของยานพาหนะได้ตลอดเวลา ทำให้เจ้าของกิจการสามารถสอดส่องพฤติกรรมการขับขี่รถบรรทุกของพนักงานขนส่งสินค้าได้ตลอดทั้งวัน แม้จะไม่ได้อยู่ในรถบรรทุกขนส่งนั้น ทั้งทำให้ทราบว่ามีการแวะจอดรถที่จุดใดบ้าง เป็นเวลานานเท่าใด มีการขนถ่ายสินค้าที่ใดบ้าง ในช่วงเวลาใด ทำให้สามารถประเมินศักยภาพในการทำงานของพนักงานขนส่งได้ดีขึ้น ควบคู่กับการวางแผนเรื่องเส้นทางและการบริหารเวลาจัดส่งสินค้าแต่ละจุดได้อย่างรัดกุมขึ้น

3. เป็นการป้องกันการกระทำทุจริตของพนักงานขนส่งสินค้า เช่น การจอดรถเพื่อแวะลักขโมยน้ำมันเชื้อเพลิงไปขายต่อ การขับรถของบริษัทไปทำธุระส่วนตัว การจอดรถพักเป็นเวลานานโดยไม่มีเหตุอันสมควร เป็นต้น

4. กรณีที่ใช้กับรถบริการรับส่งบุคคลหรือ TAXI การติดตั้งเครื่อง GPS Tracker จะทำให้ลูกค้า รู้สึกปลอดภัย ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจในการใช้บริการมากยิ่งขึ้น

5. ช่วยในการวางแผนการเดินทาง โดยใช้วิเคราะห์สภาพถนน เพื่อการหลีกเลี่ยงเส้นทางการจราจรที่รถติด ซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่ต้องเสียเวลาและสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงไปโดยเปล่าประโยชน์ชวนรู้จักเทคโนโลยี GPS tracking

จะเห็นได้ว่าระบบ GPS tracking เป็นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่ใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย เหมาะทั้งกับการใช้งานทั้งในรถส่วนตัว รถรับส่งส่วนบุคคลหรือแท็กซี่ รถขนส่งสินค้าของบริษัท ฯลฯ ซึ่งจะทำให้การบริหารจัดการด้านเวลา เจ้าหน้าที่และทรัพยากร เช่น น้ำมัน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้ธุรกิจต่าง ๆ สามารถลดต้นทุนได้มากยิ่งขึ้นด้วย

ความคืบหน้าของเทคโนโลยีในโทรศัพท์มือถือ

ปัจจุบันเทคโนโลยีในโทรศัพท์มือถือมีความก้าวหน้ามาก เทียบจากในอดีตที่เป็นยุค 1G ที่เป็นโทรศัพท์ขนาดใหญ่และราคาแพง ยุค 2G ที่มีการพิมพ์ข้อความสั้น ๆ ได้ ยุค 3G ที่มีการดูคลิปได้ ยุค 4G ที่มีการ ใช้ Streaming และเล่นเกมส์ได้

จนถึงยุค 5G ในปี 2019 ซึ่งจะมีการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้น เพื่อให้สามารถเข้ากับชีวิตประจำวันของคนทั่วโลกได้มากขึ้น ซึ่งได้รวบรวมเทคโนโลยีที่น่าสนใจในโทรศัพท์มือถือมาไว้ ดังนี้

1. เทคโนโลยี AR หรือ Augmented Reality เป็นการผสมภาพการ์ตูนต่าง ๆ เข้ากับสภาพแวดล้อมจริง ซึ่งนิยมมากในเกมเช่น เกมโปเกม่อน ซึ่งในอนาคตก็จะมีการผลิตออกมาให้ผู้เล่นเกมอีสปอร์ตได้เล่นกันในรูปแบบที่หลากหลายมากขึ้นด้วย

2. เทคโนโลยี IoTs หรือ Internet of Things ทำให้สามารถสั่งงานเครื่องใช้ไฟฟ้าได้จากโทรศัพท์มือถือ เช่น การสั่งให้เปิดปิด ตั้งอุณหภูมิ ของเครื่องปรับอากาศในบ้านหรือออฟฟิศ โดยที่อยู่นอกบ้าน การสั่งการเปิดปิดล็อคกุญแจประตูต่าง ๆ เป็นต้น

3. โทรศัพท์สามารถที่จะพับหน้าจอได้ โดยทำเป็นหน้าจอโอแอลอีดี (OLED) ที่จะบิดหรือพับได้ โดยที่ไม่ทำให้โทรศัพท์ได้รับความเสียหาย จึงเหมาะกับการขยายหน้าจอเพื่อเล่นเกม ดูหนังและพับจอกลับให้เป็นขนาดเล็กเมื่อไม่ได้ใช้งาน จึงทำให้เหมาะสำหรับการพกพาไม่ต่างจากมือถือแบบปกติ

4. สามารถใช้โทรศัพท์มือถือทำงานเป็นเครื่องฉายโปรเจคเตอร์ได้เอง โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์อื่น ๆ มาต่อ ทำให้ได้รับความสะดวกสบายมากขึ้นในการทำธุรกิจที่ต้องมีการออกบูธ การแสดงนำเสนอผลงาน การจัดอบรมประชุมต่าง ๆ ช่วยกระตุ้นการขายได้ดีขึ้น ทำให้พร้อมแสดงข้อมูลของสินค้าหรือบริการให้ลูกค้าได้ชมพร้อม ๆ กันเป็น จำนวนมากได้ทุกที่ทุกเวลา

5. การแสดงผลแบบ Holograms หรือแบบภาพ 3 มิติ ทำให้สามารถผลิตผลงานแนวสร้างสรรค์ได้ง่ายขึ้น ซึ่งเหมาะกับธุรกิจแนวบันเทิงเกมหรืออีสปอร์ต ที่ต้องการดึงดูดความสนใจลูกค้ากลุ่มเป้าหมายให้มากขึ้น ช่วยทำให้เกิดการเติบโตทางธุรกิจได้ดีขึ้น

6. การเพิ่มปริมาณหน่วยความจำ RAM จากเดิมประมาณ 12 GB เป็น 512 GB และ 1 TB ตามลำดับและมีการพัฒนาชิปเซ็ตของเครื่องที่มีความสามารถในการทำงานที่ดีมากขึ้น เพื่อช่วยในการประมวลผลที่รวดเร็ว ไม่ต้องเสียเวลาดาวน์โหลดข้อมูลมาก ซึ่งจะเหมาะกับการใช้งานในเครือข่ายมือถือแบบ 5G

จะเห็นได้ว่า ทั้งห้าข้อที่กล่าวมาข้างต้นเป็นความคืบหน้าที่เทคโนโลยีในโทรศัพท์มือถือทำได้มากขึ้นในปัจจุบัน ทำให้ผู้ใช้งานได้รับประโยชน์ทั้งการทำงาน การทำธุรกิจ รวมถึงการบันเทิง เกม หรือ กีฬาอีสปอร์ต ที่มีแนวโน้มจะได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต

ความคืบหน้าของเทคโนโลยีในโทรศัพท์

ทำความรู้จักเทคโนโลยี 5G

เทคโนโลยี 5G ย่อมาจากคำว่า The 5th Generation ซึ่งหมายถึงรุ่นที่ 5 ของการสื่อสารด้วยมือถือ ที่จะมีการเชื่อมต่อของสิ่งต่าง ๆ ด้วยระบบเครือข่ายอัจฉริยะ Internet of Things หรือ IoTs ที่ฉับไวอย่างมาก (การสื่อสารรุ่น 1G สามารถใช้เฉพาะเสียงเท่านั้น 2G ใช้ได้ทั้งเสียงและส่งข้อความ 3G มีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตได้ 4G คือดูภาพฟังเสียงสื่อมัลติมีเดียได้) ซึ่งในไทย คาดว่าจะประกาศใช้อย่างเป็นทางการในปี 2020 (หลายประเทศพร้อมใช้ตั้งแต่ปี 2019)

ทำความรู้จักเทคโนโลยี

คุณสมบัติของเครือข่าย 5G

5G จะมีความแตกต่างจาก 4G ที่ผ่านมาอย่างไรบ้าง เรามาดูกันเลย

1. มีความเร็วสูงสุด (Peak Data Rates) ที่ 20 Gbps เร็วมากกว่าการสื่อสารด้วย 4G เป็นพันเท่า

2. ระยะเวลาการเชื่อมต่อระหว่างผู้ใช้โทรศัพท์ต้นทางและปลายทาง (Latency) ต่ำกว่า 0.001 วินาที

3. มีความเสถียรในการใช้งานมากถึง 99.9999% โอกาสสายหลุดหรือสัญญาณไม่ชัดเจนน้อยลง

4. สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ IoTs ได้มากขึ้น โดยใช้พลังงานโดยใช้พลังงานในการเชื่อมต่อน้อยลงถึง 90%

ประโยชน์ของ 5G

โดยทั่วไป เราจะรู้ว่าการส่งผ่านข้อมูลผ่าน 5G จะไวขึ้น ทำให้เราใช้งานอุปกรณ์เทคโนโลยีได้อย่างรวดเร็ว แต่นอกจากนี้ยังมีประโยชน์อีกมากมายจาก 5G ได้แก่

1. เพิ่ม boardband หรือภาษาเทคนิคก็คือ Enhanced Mobile Broadband (eMBB) หมายถึง ทำให้ศักยภาพในการส่งผ่านข้อมูลสูงขึ้น ทุกคนสามารถที่จะใช้บริการสตรีมมิง (streaming) ที่มีความละเอียดสูงระดับ 4k (สูงกว่า HD) ได้ และยังสามารถทำงานบนคลาวด์ (cloud) ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลใหญ่ได้ โดยไม่ต้องเสียเวลาดาวน์โหลดข้อมูลมากอย่างแต่ก่อน (โอกาสที่ภาพและเสียงจะกระตุกลดน้อยลง เมื่อเทียบกับ 4G)

2. สามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์อัจฉริยะ Internet of Things (IoTs) ได้ หรือ ภาษาเทคนิค คือ Massive Machine Type Communications (mMTC) ตัวอย่างเช่น การที่เราสามารถเชื่อมต่อกับรถยนต์เพื่อควบคุมการขับขี่ การเปิด-ปิดแอร์ เปิด-ปิดประตูบ้าน โทรทัศน์ ฯลฯ ได้สะดวก โดยทำผ่านมือถือ ไม่ต้องใช้ระบบ WiFi ซึ่งจะทำให้ชีวิตประจำวันของทุกคนง่ายดายและสะดวกยิ่งขึ้น

3. การเชื่อมต่อสั่งการ จะมีความเสถียรและฉับไว หรือ เรียกว่า Ultra-Reliable and Low Latency Communication (URLLC) การควบคุมอุปกรณ์จากระยะทางไกลจะไม่มีปัญหาการช้าของภาพและเสียง ตัวอย่างที่ใช้ในทางการแพทย์ เช่น ควบคุมการผ่าตัดที่ละเอียดและต้องแม่นยำ จากการดูผ่านหน้าจอมอนิเตอร์

5G ถือได้ว่ากำลังมีบทบาทและช่วยในการใช้ชีวิตประจำวันด้านต่าง ๆ ของทุกคนให้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และในส่วนของเครือข่ายมือถือของไทย ก็มีหลายค่ายที่มีคุณสมบัติรองรับเทคโนโลยี 5G ได้ (แต่ในส่วนของเครื่องโทรศัพท์ของแต่ละคน ต้องดูที่สเปคของเครื่องว่าระบบฮาร์ดแวร์รองรับการใช้งานหรือไม่ หากไม่รองรับก็ต้องเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือ) จึงควรติดตามความคืบหน้าของเทคโนโลยี 5G อย่างต่อเนื่อง เพื่อปรับตัวให้ทันสถานการณ์

ทำความรู้จักกับเทคโนโลยี-5G

กว่าจะ ถึงวันนี้ กับเทคโนโลยี AI

AI (Artificial Intelligence) หรือเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นสิ่งที่มีพัฒนาการโดยมนุษย์มาต่อเนื่องหลายสิบปี ตั้งแต่การประสบความสำเร็จในการสร้างคอมพิวเตอร์รุ่นแรก ๆ เรื่อยมาจนถึงการมีมือถือ smartphone รุ่นใหม่ ๆ ที่เป็นการแสดงให้เราเห็นได้ชัดเจนถึงความเติบโตอย่างก้าวกระโดดของวิทยาการทางคอมพิวเตอร์

กว่าจะ ถึงวันนี้ กับเทคโนโลยี

โดยในช่วงแรกของการสร้าง AI ให้ตอบสนองต่อคำสั่งของคนนั้น มีการเขียนโปรแกรมให้มีระบบการคิดคำนวณและมีการวางแผนสำหรับเล่นเกมส์หมากรุก ชื่อว่า Deep Blue ซึ่งผลปรากฏว่า เทคโนโลยี AI สามารถเอาชนะสถิติที่มีคนเคยเล่นเกมส์หมากรุกระดับโลกได้ สร้างความประทับใจและทำให้หลายคนเห็นความเป็นไปได้ในการต่อยอดธุรกิจจากเทคโนโลยีนี้

ในปัจจุบัน AI ถูกใช้ในการสื่อสารและเชื่อมโยงข้อมูลของมนุษย์จากหลากหลายมุมโลกเข้าด้วยกัน มีบริษัทชื่อดังระดับโลกอย่าง Microsoft , Google , Facebook , Line เป็นเจ้าครองตลาดใน e-commerce และมีขีดความสามารถสูงมากในการรวบรวม วิเคราะห์และสร้างฐานข้อมูลขนาดใหญ่ เพื่อเป็นรากฐานของสังคม Big data ในอนาคตที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า

ในระยะหลัง การเติบโตของเทคโนโลยีและการสร้างสรรค์โปรแกรมที่มีความสามารถในการตอบโต้กับคนเรามีมากขึ้น มีการสั่งงานผ่านรูปแบบเสียงมากขึ้น โดยในช่วงแรกเป็นระบบที่มีเฉพาะโทรศัพท์ไอโฟนอย่าง Siri ควบคู่ด้วย Google assistant ของค่ายกูเกิ้ล Cortana ของ Microsoft และ alexa จาก amazon ที่เชื่อได้ว่าจะมีการพัฒนาอย่างไม่หยุดต่อไป

ในส่วนของการสนับสนุนการทำธุรกิจแบบออนไลน์ AI ถูกพัฒนาจนเป็นระบบ ROBOT ที่สามารถตอบคำถามและให้คำแนะนำแก่ลูกค้าขององค์กรต่าง ๆ ได้ โดยช่วยตอบคำถามทั่วไป หรืออยู่ในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อช่วยเหลือเจ้าหน้าที่ฝ่ายดูแลลูกค้า หรือ customer service ในการบริการลูกค้าด้วยความรวดเร็วฉับไว เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ทำงานแทนคน

นอกจากการตอบสนองผ่านระบบคอมพิวเตอร์ออนไลน์แล้ว AI ยังมีบทบาทมากขึ้นในวงการรถยนต์ เนื่องจากมีการพัฒนาเทคโนโลยีการขับขี่แบบไร้คนขับ ไม่จำเป็นต้องอาศัยการตัดสินใจและทัศนวิสัยของมนุษย์อีกต่อไป ซึ่งคาดการณ์กันว่าจะเป็นการเปิดมิติใหม่แห่งวงการยานพาหนะทุกรูปแบบและขับเคลื่อนอุตสาหกรรมด้านนี้ให้รุดหน้าอย่างรวดเร็วด้วย

สำหรับความแม่นยำปลอดภัยในการใช้เทคโนโลยี AI นั้น เรียกได้ว่ามีระบบการคิดคำนวณและประเมินผลอย่างแม่นยำ ยิ่งกว่ามนุษย์ที่มีขีดจำกัดทางสมองและมีความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียได้จากการทำงานหลายชั่วโมง การใช้อุปกรณ์ด้าน AI จึงเป็นตัวช่วยที่ดีในการลดความผิดพลาดหรือ error ในการทำงานของทุกวงการ ทำให้งานแต่ละอย่างสำเร็จ เห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วขึ้น

กว่าจะ ถึงวันนี้

เราหวังว่าบทความนี้ จะทำให้ทุกท่านเห็นความสำคัญของการติดตามความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยี AI และเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้สามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในอนาคต