เทคโนโลยีการจดจำใบหน้าที่เคยเห็นในภาพยนตร์ไซไฟเรื่อง Minority Report เมื่อเกือบสองทศวรรษมาแล้ว ดูสนุกแล้วก็น่าทึ่งที่เทคโนโลยีไฮเทคและ AI ตรวจจับใบหน้าระบุตัวคนได้รวดเร็วแม่นยำ ใครจะคิดว่าวิทยาการล้ำสมัยทำได้จริง ๆ ในช่วงอายุของเรานี่เอง เทคโนโลยีจดจำใบหน้าไม่ได้ใช้เพียงแค่ปลดล็อกอุปกรณ์อย่างเช่นหน้าจอสมาร์ทโฟนและไอแพดเท่านั้น ในสนามบินบางแห่งใช้ระบบสแกนใบหน้าก่อนขึ้นเครื่องเพื่อรักษาความปลอดภัยแบบเข้มงวด ระบบตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐนำมาใช้สแกนใบหน้าเพื่อตรวจสอบควบคู่กับรูปในหนังสือเดินทางทำให้เช็คประวัติได้ทันทีว่าอยู่มานานเกินวีซ่าหรือเปล่า

เมื่อเร็ว ๆ นี้โรงเรียนและค่ายฤดูร้อนทั่วสหรัฐเริ่มทดสอบการใช้ระบบสแกนใบหน้า แม้แต่สวนสนุกอย่าง ดิสนีย์เวิลด์ ก็ยังนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อปรับปรุงระบบความปลอดภัยไปพร้อมกับลดต้นทุนและย่นเวลารอคิวเครื่องเล่น แต่หลายฝ่ายยังมีข้อกังวลว่าถ้านำเทคโนโลยีมาใช้โดยขาดการควบคุมอาจเกิดปัญหารุกล้ำความเป็นส่วนตัว หรือข้อมูลของบุคคลที่บันทึกในระบบถูกแฮกจะเกิดอะไรขึ้น องค์กรตำรวจหลายแห่งต้องระงับการใช้เทคโนโลยีไว้ก่อนจนกว่าจะมีการศึกษาผลกระทบอย่างชัดเจน แต่หลายประเทศรวมทั้งสหรัฐไม่คิดว่าเรื่องนี้ต้องรอ ทำการสแกนใบหน้าเก็บข้อมูลประชากรนับร้อยล้านคนไว้ในฐานข้อมูลเพื่อเฝ้าระวังและป้องกันภัยก่อการร้าย

แม้ว่าการก่อการร้ายเป็นภัยคุกคามที่มีความรุนแรงมากขึ้นและใกล้ตัวเข้ามาทุกที แต่การรักษาความปลอดภัยควรแยกประเด็นในเรื่องสิ่งที่กังวลกับความเป็นจริง จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณบังเอิญดูคล้ายกับใครบางคนและถูกจับตามองอย่างใกล้ชิดด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างเช่นการจดจำใบหน้า เกิดผลกระทบต่อความเป็นส่วนตัว และแน่นอนว่ากระทบต่อเสรีภาพของพลเมือง

เทคโนโลยีจดจำใบหน้าถูกใช้เป็นเครื่องมือเฝ้าระวังในสหรัฐนับตั้งแต่เกิดเหตุก่อการร้าย 11 กันยายน หลังการวางระเบิดในการแข่งขันวิ่งมาราธอนที่บอสตันด้วย ประเทศจีนติดตั้งกล้องวงจรปิดและเครื่องมือสแกนใบหน้าไปทั่วทุกหนแห่ง ทั้งร้านสะดวกซื้อ โรงแรม ธนาคาร ปั๊มน้ำมัน เพื่อจับตาสอดส่องพฤติกรรมของกลุ่มมุสลิมอุยกูร์ในมณฑลซินเจียง มีรายงานว่าอิสราเอลใช้ระบบจดจำใบหน้าเพื่อติดตามชาวปาเลสไตน์ในเขตเวสต์แบงก์ ขณะเดียวกันสหราชอาณาจักรและรัสเซียต่างก็ใช้เทคโนโลยีจดจำใบหน้าเพื่อค้นหาผู้คนที่ต้องสงสัยเพื่อรักษาความมั่นคงปลอดภัยในประเทศ

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาระบบจดจำใบหน้าถูกใช้ไปทั่ว รวมถึงนำภาพถ่ายใบหน้าของผู้คนหลายพันล้านหน้าบนอินเทอร์เน็ตมารวมกันเป็นชุดข้อมูลภาพขนาดใหญ่เพื่อให้โลกของเราปลอดภัย คำถามที่เกิดขึ้นคือคุ้มค่าหรือไม่กับความเป็นส่วนตัวที่เสียไป สำหรับคนธรรมดาอย่างเรา ๆ แล้วการจดจำใบหน้าคืออะไร และน่ากลัวแค่ไหน ถ้าพูดถึงเรื่องใกล้ตัวที่สุดน่าจะเป็นการติดแท็กภาพถ่ายในเฟซบุ๊ก อาจจะเป็นอัลบั้มภาพถ่ายจากงานแต่งงาน งานเลี้ยงรุ่นของเพื่อนนักเรียน และงานปาร์ตี้ของที่ทำงาน มีแอปพลิเคชั่นจดจำใบหน้ามากมายและเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันยืนยันตัวตนเพื่อปลดล็อกโทรศัพท์มือถือ หรือทำธุรกรรมออนไลน์โอนเงินผ่านมือถือโดยมองเข้าไปในกล้องแทนรหัสพิมพ์เพื่อความปลอดภัย

ระบบจดจำใบหน้าป้องกันความเสี่ยงโจรเข้าบ้าน โดยสแกนใบหน้าเทียบกับภาพถ่ายใบหน้าบุคคลที่อัปโหลดไว้ทำให้รู้ว่าใครมายืนหน้าประตู กล้องวงจรปิดตรวจจับใบหน้าลูกจ้างทำให้รู้ว่ามีคนขี้เกียจลุกหายไปจากออฟฟิศ แม้แต่ป้ายโฆษณายังจดจำใบหน้าประเมินเพศ อายุ และอารมณ์บนใบหน้าของผู้คนที่สนใจหยุดดู เทคโนโลยีนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดและเริ่มคุกคามความเป็นส่วนตัวโดยที่เราไม่รู้ตัว

เทคโนโลยีจำใบหน้าคืออะไร ใกล้ตัวเราแค่ไหน